มุมข่าวร้อนประเด็นดัง HOT !!

วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2556

การสร้างเม็ดสีเมลานินสาเหตุของผิวคล้ำ ปัญหาการเกิดฝ้า การป้องกันฝ้า

ทำไมคนเราจึงมีสีผิวที่แตกต่างกันหรือเกิดการเปลี่ยนแปลงของสีผิว บางคนอาจเคยผิวคล้ำก็กลับมาขาว บางคนจากขาวก็มาคล้ำได้เช่นกัน มาทำความเข้าใจกันว่าทำไมกระบวนการใดที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสีผิวของเรา ปกติความเข้มหรือสีของผิวนั้น เกิดจากสิ่งที่เรียกว่าเม็ดสีเมลานิน (melanin) ซึ่งการจะมีสีคล้ำดำ หรือเป็นจ้ำๆ (ถ้าเป็นจ้ำ ไม่ว่าจะเป็นจ้ำสีแดง หรือสีดำคล้ำเมื่อเกิดขึ้นที่ใบหน้า ก็กลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า "ฝ้า" นั่นเอง) เมื่อเม็ดสีเมลานินนี้เข้มขึ้นที่เรียกว่า เมลาโนเจเนสิส (melanogenesis) หรือกระบวนการเปลี่ยนแปลงเม็ดสีเมลานินนั่นเอง แล้วกระบวนการนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร มีความรุนแรงเท่าใด ถ้าเราสามารถเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้ ก็จะเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของสีผิวที่เกิดขึ้น หรือแม้แต่สามารถควบคุมสีผิวของเราไม่ให้คล้ำ ปัญหาเรื่องฝ้าที่สาวๆกังวล น่าจะช่วยได้ดีขึ้นค่ะ

ในผิวหนังเรา จะประกอบไปด้วยเซลล์ผิวหนังชนิดหนึ่งในชั้นหนังกำพร้าที่เรียกว่า เมลาโนไซต์ (melanocyte) ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีจำนวนประมาณ 8% ของเซลล์ผิวหนังของชั้นหนังกำพร้า เซลล์นี้จะมีเม็ดสีที่เรียกว่า เมลานิน (melanin) อยู่ในถุงหุ้ม เมลาโนโซม (melanosome) ซึ่งเจ้าเซลล์เมลาโนไซต์จะส่งเม็ดสีเมลานินไปให้กับเซลล์ผิวหนังชั้นบนกว่าที่เรียกว่า คีราติโนไซต์ (keratinocyte - ผิวหนัง 90% จะประกอบไปด้วยเซลล์คีราติโนไซต์นี้) ทำให้เกิดเป็นสีของผิวหนังขึ้น

เม็ดสี เมลานิน (melanin) มีอยู่ 3 แบบ/สี คือ
1. ยูเมลานิน (eumelanin) เม็ดสีเมลานินชนิดนี้จะเป็นเม็ดสีสีน้ำตาล-ดำ คนเอเซียและคนที่ผิวคล้ำทั้งหลายจะมีเม็ดสีนี้มากกว่าคนที่เป็นชนชาติผิวขาว
2. ฟีโอเมลานิน (pheo-melanin) เป็นเม็ดสีสีแดงหรือที่เรียกว่า ออกซิฮีโมโกลบิน (oxyhemoglobin) หรือสีเหลือง ที่เรียกว่าแคโรทีน (carotene) อย่างที่เคยได้พูดถึงไปในบทความที่ผ่านมา ในคนผิวขาวจะมีเม็ดสีนี้มากกว่าคนผิวคล้ำ
3. แบบผสม คือมีเม็ดสีเมลานินทั้งสองแบบผสมกัน เรียกว่า mixed melanin
ซึ่งการผสมสีต่างๆ ของเม็ดสีต่างๆ เหล่านี้ออกมา ก็จะทำให้คนแต่ละคนมีสีผิวที่แตกต่างกันได้มากมายและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว (อ่านเรื่อง "ทำไมเรามีสีผิวต่างกัน" คลิกที่นี่)
สีผิวของคนเราสามารถที่จะเข้มขึ้นหรือจางลงได้ จะเห็นได้ว่าเมื่อเราทำงานหรือถูกแสงแดดนานๆ ผิวของเราก็จะคล้ำลง หรือเมื่อเราย้ายไปอยู่ในประเทศที่มีภูมิอากาศต่างไปจากที่เราเคยอยู่ สีผิวก็อาจจะเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน แต่การที่สีผิวของเราเปลี่ยนไปเนื่องจากการผสมกันของเม็ดสีนั้น ตัวต้นเหตุก็คือจำนวนเม็ดสีต่างๆ ที่เปลี่ยนไป ซึ่งจะเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของเอนไซม์ที่เป็นตัวกระตุ้นการสังเคราะห์เม็ดสีเมลานินต่างๆ เรามาลองดูเอนไซม์ที่สำคัญเหล่านี้กันว่ามีอะไรบ้าง (ดูภาพประกอบบทความนี้จะช่วยให้เข้าใจได้ดีขึ้นค่ะ)

ความพยายามในการลดการสังเคราะห์เม็ดสีเมลานิน
1. เอนไซม์ไทโรซีเนส (tyrosinase) มีบทบาทมากที่สุดในการสังเคราะห์เม็ดสีเมลานิน ทำหน้าที่เปลี่ยนไทโรซีน (Tyrosine) ไปเป็นสารกึ่งกลาง (DOPA, DOPAquinone, DOPAchrome, DHI) จนกระทั่งได้ ยูเมลานิน (eumelanin) ซึ่งมีสีเข้ม (น้ำตาล-ดำ) ถ้าเอนไซม์นี้ทำงานมากเกินไป ก็จะทำให้เม็ดสีเมลานินถูกสร้างได้มากขึ้นและอาจจะได้เม็ดสีสีดำแบบยูเมลานินมากขึ้น ทำให้เกิดรอยดำ หรือ ฝ้า ได้ จึงมีการพยายามยับยั้งการทำงานของเอนไซม์นี้ด้วยสารบางชนิดเช่น วิตามินซี, แอลบูตีน (albutin), ลิกเคอริส (licorice) เพื่อลดการสร้างเม็ดสีดำมากเกินไป ทำให้ผิวขาวขึ้นได้ (เมื่อก่อนมีการใช้สารจำพวก ไฮโดรควิโนน ด้วย แต่ว่ามีผลข้างเคียงมากซึ่งควรหลีกเลี่ยง)

2. เอนไซม์กลูตาไธโอน (glutathione) หรือ ซิสทีน (cysteine) จะมีบทบาทรองๆ ลงมา สาวๆ หลายคนอาจจะเคยได้ยินเรื่องของยากลูตาไธโอนใช่ไหมล่ะคะ นั่นล่ะที่เป็นการใช้งานผลข้างเคียงของยาชนิดนี้เพื่อทำให้ผิวมีสีชมพู (อ่านเรื่อง ยาเม็ดกลูตาไธโอนได้ผลจริงหรือ คลิกที่นี่) คือจะเปลี่ยน DOPAquinone ไปเป็น ฟีโอเมลานิน (pheo-melanin) ได้มากขึ้นทำให้มีผิวสีชมพู ในธรรมชาติเราก็สามารถพบกลูตาไธโอนได้ในผลไม้ เช่น แตงโม สตรอเบอรี่ องุ่น น้ำผึ้ง อยู่แล้ว การรับประทานอาหารเหล่านี้จึงมักจะช่วยให้ผิวขาวใสขึ้นได้ แต่อย่าลืมว่า ถ้าการสร้างเม็ดสีนี้ผิดปกติเป็นบางจุดบนใบหน้า ก็ทำให้เกิดสีไม่เรียบเนียนได้เช่นกัน

3. เอนไซม์ D.tautomerase และ D.polymerase สองตัวนี้จะช่วยในการเปลี่ยน DOPAchrome ไปเป็น DHI และ จาก DHI ไปเป็น ฟีโอเมลานิน (pheo-melanin) ตามลำดับ ทำให้มีผิวสีชมพู ซึ่งหากมีมากเกินไปก็จะทำให้เกิดเป็นกระหรือรอยสีแดงได้อีก พบว่าสารเคมีในกลุ่ม วิตามินซี, Licorice, Kogic acid สามารถยับยั้งเอนไซม์นี้ได้

4. เอนไซม์ D.peroxidase เป็นเอนไซม์ที่เปลี่ยนสารกึ่งกลาง DHI ให้กลายเป็นเม็ดสี ยูเมลานิน (eumelanin) ซึ่งมีสีคล้ำ สารเพิ่มความขาวในกลุ่ม albutin จะออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ D.peroxidase นี้ทำให้ไม่เกิดเม็ดสีคล้ำมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเรื่องรังสีอุลตร้าไวโอเล็ต (ultraviolet) ทั้งชนิด A และ B ที่สามารถทำให้สีผิวเปลี่ยนไปได้อีกคือ รังสี UV ชนิด A เป็นรังสีที่มีช่วงคลื่นยาว พลังงานต่ำ จะกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนัง melanocytes สร้างเม็ดสีเมลานินได้โดยตรง, กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ให้ทำงานได้มากขึ้น, และทำให้เซลล์ผิวหนังชั้นบนคือ keratinocyte รับสารเมลานินได้มากขึ้นส่งผลให้สีผิวเข้มขึ้น จึงทำให้เกิดผิวสีคล้ำ เกิดฝ้า หรือ กระบนใบหน้า และรังสี UVB (รังสี UV ชนิด B มีช่วงคลื่นสั้น พลังงานสูง) จะทำให้การทำงานประสานกันของเซลล์ melanocyte และเซลล์ผิวหนัง keratinocyte ได้ดีขึ้นในการรับส่งเม็ดสีเมลานินทำให้ผิวคล้ำได้เช่นกัน

วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2556

3G Krill บำรุงสมอง บำรุงผิวพรรณ ชะลอแก่ ต้านมะเร็ง เบาหวาน อัลไซเมอร์

3G-Krill บำรุงสมองบำรุงประสาท ลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง เบาหวาน อัลไซเมอร์ หลอดเลือดหัวใจอุดตัน และความดันโลหิตสูง บำรุงผิวพรรณ ชะลอแก่

1. Gamma Oryzanol (Rice Bran Oil)
แกมมา – ออไรซานอล มีฤทธิ์ในการลดระดับคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ ทำให้ลดการตีบตันของหลอดเลือด เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต และยังมีฤทธิ์ในการลดความเครียด และรักษาอาการผิดปกติของสตรีวัยทอง นอกจากนี้ยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
และยังป้องกันแสงยูวีได้ ทำให้ผิวหนังชุ่มชื่นและต้านการอักเสบ มีความปลอดภัยสูง ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของเซลล์ประสาทสมอง และช่วยป้องกันเซลล์ประสาท จากสารที่เป็นพิษและอนุมูลอิสระต่าง ๆ ช่วยลดความเครียด และช่วยเสริมสร้างในด้านความจำ

Omega 3-6-9 ในน้ำมันรำข้ำว
1. ลดการเกิดลิ่มเลือดในเลือด 2. ช่วยควบคุมไตรกลีเซอไรในเลือด 3. ช่วยควบคุมความดันโลหิต 4. ช่วยควบคุมอาการอักเสบ ปวด บวม อาการปวดข้อ 5. ป้องกันการอักเสบของอวัยวะและโรคผิวหนังบางชนิด 6. ลดความเสี่ยงต่อการเกิดเส้นเลือดอุดตันเฉียบพลัน 7. ลดความหนืดของเลือด ทาให้เลือดไหลเวียนไปยังส่วนต่างๆของร่างกายได้ดีขึ้น 8. มีกรดไขมัน DHA ที่มีความสาคัญต่อการพัฒนาสมองและเรตินาของดวงตา

2. Ginsenosides (American Ginseng)
สารสำคัญ ที่พบในรากเป็นสาร saponin ซึ่งแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม ginsenoside กลุ่ม panaxoside และกลุ่ม chikusetsusaponin แต่ส่วนประกอบที่สำคัญ ของโสมคือ ginsenoside ซึ่งจะมีในโสมประมาณ ร้อยละ 1-2 โดยน้ำหนัก ขึ้นกับชนิดของโสม แหล่งที่ปลูก รวมทั้งกระบวนการผลิต พบว่าโสมที่ขายในท้องตลาดบางชนิดแทบจะไม่มี ginsenoside เลย ดังนั้นเมื่อหาซื้อโสมมาบำรุงร่างกายจึงควรดูส่วนประกอบของโสม คือ ginsenoside เป็นสาคัญ

คุณประโยชน์ของ American Ginseng
ต้านความเครียด: สารสกัดจากโสมมีคุณสมบัติต้านความเครียด โดยช่วยปรับสภาพร่างกายและจิตใจให้สามารถทนต่อความเครียดได้ในระดับหนึ่ง โดยฮอร์โมน ACTH จากต่อมใต้สมองจะเป็นตัวควบคุมการหลั่งฮอร์โมนต่อมหมวกไต ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวป้องกันและต่อต้านความเครียด โดยเร่งกระบวนการเมตาบอลิซึมต่างๆ เพื่อปลดปล่อยพลังงานและสารต่อต้านความเครียดออกมา

ผลต่อระบบประสาทกลาง ในสารสกัดโสมมีคุณสมบัติกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางให้ตื่นตัว ช่วยให้ผ่อนคลายความตึงเครียด มีส่วนช่วยบำรุงสมองโดยรวม

ต่อต้านความเมื่อยล้า เพราะทำให้ร่างกายมีการปลดปล่อยพลังงานมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้เยื่อเซลล์สามารถดูดซึมอ๊อกซิเจนเพิ่มขึ้นถึง 21% เซลล์ในร่างกายจึงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังมีผลทำให้กระบวนการเผาผลาญภายในร่างกายเพิ่มมากขึ้นด้วย

ช่วยลดปริมาณน้ำตาลในผู้ป่วยที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง จากงานค้นคว้าวิจัยพบผลชี้วัดว่า สารสกัดจากโสมทำให้ตับอ่อนหลั่งสารอินซูลินออกมาควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น ซึ่งจะไปช่วยป้องกันการเกิดของอาการชาตามนิ้วมือและปลายเท้า การเกิดแผลเน่าเปื่อย นอกจากนี้ ยังมีฤทธิ์คล้ายอินซูลิน จึงอาจเป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

เพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย: จากงานวิจัยพบว่าสารสกัดจากโสมสามารถช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันสูงขึ้น โดยทำการวัดผลจากปริมาณเม็ดเลือดขาวในเลือด
ช่วยชะลอความแก่: ร่างกายของเรานั้นจะมีกระบวนการเผาผลาญไขมัน (Lipid Oxidation) ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดอนุมูลอิสระที่จะไปทำลายเนื้อเยื่อของอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายให้เสื่อมสลายลง ส่งผลให้ร่างกายชราลง โสมและสารสกัดจากโสมนั้นมีฤทธิ์ในการทำลายอนุมูลอิสระ ทำให้เนื้อเยื่อเหล่านี้มีการเสื่อมสภาพในอัตราที่ลดต่ำลง

3. Ganoderma Lucidum
เห็ดมีองค์ประกอบของพฤกษเคมีที่ชื่อว่า “โพลีแซคคาไรด์” (Polysaccharide) จะทำงานร่วมกับแมคโครฟากจ์ (macrophage) ซึ่งเป็นเซลล์คุ้มกันขนาดใหญ่ โดยจะช่วยกระตุ้นวงจรการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เสริมและช่วยเพิ่มปริมาณและประสิทธิภาพของเซลล์คุ้มกันธรรมชาติ ให้ทำหน้าที่ทำลายเซลล์แปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย รวมถึงพวกไวรัสและแบคทีเรียอื่นๆ ด้วย

เห็ดให้คุณค่าทางโภชนาการและมีสรรพคุณทางยา เช่นช่วยเสริมภูมิคุ้มกันในร่างกาย ลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง เบาหวาน อัลไซเมอร์ หลอดเลือดหัวใจอุดตัน และความดันโลหิตสูง

เออร์โกสเตอรอลหรือโปรวิตามินดี 2 เป็นสารสำคัญที่พบได้ในเห็ดหลินจือ ซึ่งร่างกายจะสะสมไว้ใต้ผิวหนังเพื่อเปลี่ยนไปเป็นวิตามินดีเมื่อได้รับรังสีอุลตราไวโอเลตจากแสงแดด ที่จะไปช่วยดูดซึมแคลเซียมฟอสฟอรัสในลำใส้ซึ่งจำเป็นต่อการเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและฟัน

Antarctic Krill Oil
Krill มีชุกชุมที่สุดใน Antarctic ซึ่งเป็นมหาสมุทรที่สะอาดบริสุทธิ์ห่างไกลจากสิ่งที่เป็นมลพิษจึงนับได้ว่า Krill เป็นแหล่งโปรตีนที่บริสุทธิ์ไร้สารที่ก่อให้เกิดมลภาวะ (Dioxin) และโลหะหนักต่าง ๆ ด้วยเหตุผลที่ Krill เป็นสิ่งมีชีวิตตัวแรก ๆ ในห่วงโซ่อาหารทำให้มันมีความเสี่ยงต่ำกว่าสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในทะเลที่จะมีการปนเปื้อนโลหะหนัก เพราะมันไม่ได้ไปกินอะไรที่หลากหลายมากนัก

สารสำคัญที่มีอยู่ใน Krill oil ได้แก่ Omega-3 ซึ่งอยู่ในรูปของ Phospholipids และ ยังพบ Astaxanthin ซึ่งเป็นสารในกลุ่ม Carotinoid ที่มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ที่ดีตัวหนึ่งอีกด้วย พบได้ในสัตว์พวกกุ้ง ปู รวมทั้ง Krill มีความแตกต่างและความได้เปรียบเมื่อเปรียบเทียบ Krill oil และ Fish oil คือ โครงสร้างโมเลกุลของ Omega-3 ใน Krill oil เป็น Phospholipid แต่ใน Fish oil เป็น Triglyceride ซึ่ง Phospholipid มีโมเลกุลขนาดเล็กกว่า โครงสร้างอยู่ในลักษณะคล้ายกับโครงสร้างแบบเดียวกับเยื่อหุ้มเซลล์ของมนุษย์ (เยื่อหุ้มเซลล์มีโครงสร้างเป็น Phospholipid bilayer) สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและสมองได้ดีกว่า Omega-3 ที่อยู่ในโครงสร้าง Triglyceride ที่มีอยู่ใน Fish oil นอกจากนี้กลิ่นของ Krill oil ยังไม่เหม็นคาวเหมือนกับ Fish oil อีกด้วย

คุณสมบัติเด่นอีกอย่างหนึ่งของ Krill oil คือ สามารถละลายน้ำได้เนื่องจากมีโครงสร้างที่เป็น Phospholipid ซึ่งมีส่วนที่เป็น Polar head และมีส่วนที่เป็น Non-Polar น้อยกว่า Triglyceride จึงละลายน้ำได้ดีกว่า จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ร่างกาย สามารถดูดซึม Krill oil ไปใช้ได้ดีกว่าด้วยเช่นเดียวกัน

“ จากการทดลองในอาสาสมัครชายอายุระหว่าง 60-73 ปี จานวน 45 คน เป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่ากลุ่มที่ได้บริโภค Krill oil ในปริมาณ 2 g/day มีประสิทธิภาพในการ ลดระดับของอัตราการประมวลผล (The rate of information processing and delays) ที่สัมพันธ์กับอายุที่มากขึ้น ดังนั้นสามารถสรุปได้ว่า Krill oil ส่งผลให้ระดับของ P300 Latency ลดลง และ ช่วยปรับปรุงความผิดปกติที่เกี่ยวความจำในผู้สูงอายุได

UMIN-CTR Clinical Trial 2011/12/18
Psychophysiological evaluation of effect of ingestion of oil extracted from krill on brain function
Source: Kyorin University School of Medicine, Japan





ขาย 980 บาท
สั่งซื้อ

http://likejasmin.lnwshop.com
0898986415

วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2556

แชร์ประสบการณ์การทานอาหารเสริม


แชร์ประสบการณ์การทานอาหารเสริมตัวไหนดี ยีห้อไหนดี 

1. ยี่ห้อนึงชื่อขึ้นต้นด้วยตัว V ราคาถูกดีค่ะ ก็บอกได้ว่าเห็นผลในระดับนึง คือ ทานสารสกัดเมล็ดองุ่น+วิตามินซี 1000 MG+คอลลาเจนเม็ด+ซิ้ง แต่เท่าที่ สังเกตเหมือน ว่าการทานวิตามินซี  1000 MG เหมือนร่างกายจะได้รับมากเกินไปท้องเสียบ้าง แต่ พอทานแล้วร่างกายแข็งแรงขึ้นนะคะอย่างเป็นหวัดร้อนในนี่จะหายไวมาก และ ช่วงที่ทาน ทั้ง 4 ตัวนี้พร้อมกัน สิวไม่ได้ถึงกับหายแต่ แผลสิวจะแห้งไว ผิวตัวก็ขาวใส ระดับนึง มีคนทักว่าขาว ถือว่าพอใช้ได้ ค่ะ กลางๆ

2. อีกยี่ห้อนึงแพงค่ะตัวนี้ ชื่อขึ้นต้นด้วยตัว A รวมสารอาหารสารสกัดจากเมล็ดองุ่น+คอลลาเจน+วิตามินซี  +ไกลซีน+แมกนิเซี่ยม+ไบโอติน  ผลคือไม่ได้ทานแล้วขาวจั๊ว แต่สุขภาพผิวเหมือนจะดีขึ้นอย่างอาการเท้าแตก ก็ ไม่แตกเหมือนผิวเราชุ่มชื้นขึ้น ผมก็ร่วงน้อยลง เพราะ สารอาหารบำรุงผิวครบ สูตร แต่บอกได้เลยค่ะว่าแพงมาก จริงติดใจเหมือนกัน เพราะส่วนตัวมีปัญหาเรื่องของผิวไม่ค่อยชุ่มชื้น และเป็นสิวง่าย เหมือนจะมีปัญหาเรื่องฮอโมน ถ้ามีเงินก็จะหามาทานอีกค่ะ แต่จะทานตัวอื่นเสริมขึ้นด้วย กำลังเร็งๆ พวกโอเมก้า 3 + พริมโรส

3. อีกตัวที่เคยทาน ชื่อสินค้าขึ้นต้นด้วยตัว D ของญี่ปุ่นเป็นซองๆ อันนี้ก็ ถูกดี ไม่แพง เคยทาน คอลลาเจน+วิตามินซี ทานช่วงแรก ก็ มีความรู็้สึกว่าตัวรื่นๆ ผิวตัวจะรื่นๆ นิ่มๆ ไม่แน่ใจว่ารู้สึกไปเองมั้ย แต่ มันรู้สึกจริงๆ อ่ะค่ะ แต่พอทานไปสักพักก็เริ่มจะเฉยๆ เหมือนอยู่ตัว คือเราทานจะคาดหวังว่า ต้องใสเด้งมากไรงี้ แต่มันได้แค่ระดับนึงคือเสริมจากที่เราขาด จากที่ผิวไม่ค่อยชุ่มชื้น ก็ชุ้มชื้นขึ้นมาินิดนึง แต่หยุดทานเพราะเห็นว่าผลของมันคงตัว เลือกทานเพราะตอนนั้นทุนน้อยค่ะ แฮ่ะๆๆ

4.สุดท้ายที่เคยทาน ยี่ห้อ ขึ้นต้นด้วย ตัว N กับตัว M หาซื้อตามร้านยาไม่แพงค่ะ กะปุกส้มๆ เขียวๆ ทาน วิตามินซี อี เบต้า 3 ตัว บอกตรงๆ ไม่ค่อยรู้สึกอะไรเลยอ่ะค่ะ มันธรรมดาหรือเพราะว่าเราสุขภาพดีอยู่แล้วเลยไม่ได้เห็นผลอะไรชัดเจนมากมาย

แล้วจะรองทานยี่ห้ออื่นๆ อีกค่ะ แต่คอนเฟริม 3 ยี่ห้อแรก เห็นผลระดับนึงค่ะ ยี่ห้อที่ 4 ตัดทิ้งเลยค่ะ ไม่กลับไปทานอีกแน่ๆ

*** วิเคราะห์จากความเห็็นส่วนตัวนะคะ 

- อาหารเสริมบางยี่ห้อราคาถูกมาก ต้องดูว่าการผลิตและสารอาหารจริงๆได้สารอาหารสกัดมาจากธรรมชาติโดยตรง หรือเทียบเท่าคือสังเคราะห์มาหรือไม่ จึงสามารถนำมาขายได้ในราคาที่ถูก
- อาหารเสริมราคาแพงหลายตัว จะรวมสารอาหารหลักๆ หลากหลายตัวที่จำเป็นสำหรับการบำรุงผิวและหาได้ยาก การสกัดมาจากธรรมชาติโดยตรง ไม่สังเคราะห์  รองทานและวิเคราะห์ดูนะคะ ว่าเราควรเลือกอาหารเสริมแบบไหน คุ้มค่าที่จะทานมั้ย
- จากประสบการณ์ วิตามินซี 1000 MG เท่าที่ทานมาจะเลือกลดเหลือแค่ 500 MG พอค่ะ หรือน้อยกว่านั้น เพราะเหมือนร่างกายจะขับออกฉี่บ่อยและมีอาการท้องเสียด้วย เพราะปกติก็ทานพักผลไม้ เยอะอยู่แล้ว อาจจะเกินความจำเป็น เปลืองเงิน ถ้าจะเชื่อคำโฆษณาและซื้อถึง 1000 MG เพื่อให้ตัวเองขาว มันต้องมีหลายตัวช่วยเสริมค่ะ ไม่ใช่แค่วิตามินซี อย่างเดียว
- จำเป็นที่ต้องทาน สารสกัดจากเมล็ดองุ่น + วิตามิน อี + หลายอีกตัว อื่นๆ ที่จำเป็นค่ะ ผิวเราถึงจะดีขึ้นดูขาวใสขึ้นค่ะ
- เป้าหมายส่วนตัว กำลังเร็งอาหารเสริม ที่มีสารสกัดจากเปลือกสน+เมล็ดองุ่น+สารสกัดจากมะเขือเทศ+สารสกัดจากปลาทะเลที่มีโอเมก้า3 เพื่อช่วยเสริมคอลลาเจน+มีวิตามินซีเป็นพื้นฐาน
 จะรองทานดู ค่ะแล้วจะมา แชร์ ผลจากการทานอาจจะเป็นประโยชน์กับสาวๆทุกท่านบ้างไม่มากก็น้อยนะคะ

สารอาหารอีกตัวที่ยังไม่เคยรอง คืออาหารเสริมที่่มีส่วนผสมจากรกแกะ อันนี้น่ารองค่ะ ***